จากประสบการณ์ตรง ผมเคยทำการตลาดให้กับบริษัทต่างประเทศ
การทำงานของที่นี่คือให้คุณดูแลแชนแนลนั้นๆ และหาลูกค้าให้ถึง KPI
ผมตกใจมากนะ ที่ผมถูกจับให้อยู่ในแผนกโซเซียล (ที่นี่เขาเรียกว่าแผนกไม่ใช้ตังค์)
ในใจคิดเลยว่าจะไปสู่กับคนอื่นๆ ที่ดูแลแชนแนลใช้ตังค์ได้ยังไง
โนไอเดียมากว่าต้องทำยังไงถึงจะทำให้ คนสนใจ แล้วเป็นลูกค้าในช่องทางของเรา
และนั้นหล่ะ… ที่ทำให้ผมรู้จักคำว่า Inbound Marketing
Inbound VS Outbound ต่างกันตรงไหน?
Pull Marketing ดึงลูกค้าที่มีความต้องการหรือความสนใจ ตามหาและเดินเข้าหาแบรนด์ โดย…
- สร้างคอนเทนต์จากความสนใจของลูกค้า
- กลุ่มเป้าหมายสามารถติดต่อสื่อสารกับเราได้
- สื่อสารกันแบบ Two Way Communication
- ส่วนมากจะเป็น Online Marketing เช่น Facebook Fanpage และ Line@
*Inbound Marketing รวมถึงการทำ Paid Search
Outbound Marketing
Push Marketing ผลักดันชิ้นงานไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้รับรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ โดย…
- กระจายโฆษณาไปยังลูกค้าผ่านสื่อต่างๆ
- เป็นการสื่อสารทางเดียว One-Way Communication
- Outbound Marketing แบ่งได้เป็น 2 อย่างหลักๆ คือ...
- Online Marketing เช่น Facebook Ads, Youtube Ads, GDN
- Offline Marketing เช่น TVC, Print Ads, Billboard
TIP: หัวใจหลักของการทำ Inbound Marketing
เป็นการนำเสนอที่มีความดึงดูดความสนใจต่อกลุ่มผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและยังเป็นการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดได้ดีอีกด้วย
ความยากคือความเข้าใจกลุ่มลูกค่าอย่างถ่องแท้ว่าเนื้อหาข้อมูลที่มีประโยชน์คืออะไรและความเร็วในการอัพเดทข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
การทำคอนเทนต์ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายต้องเกิดจากการวิเคราะห์พฤติกรรม ทำความเข้าใจและสร้างบุคลิกหลักของกลุ่มนั้นๆ เพื่อเป็นแนวทางในการนำเสนอเนื้อหาได้อย่างตรงจุด เมื่อสิ่งที่แบรนด์นำเสนอมีความสอดคล้องกับพฤติกรรมหรือความต้องการในปัจจุบันของกลุ่มเป้าหมาย โอกาสดึงดูดกลุ่มลูกค้าก็จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถือได้ว่าเป็นเป้าหมายของการทำ Inbound Marketing เลยก็ว่าได้ เพราะกลุ่มคนที่ติดตามเพจเราต้องมีความสนใจในแบรนด์ของเราไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม
ดังนั้นทุกคอนเทนต์ที่ทำควรมีช่องทางติดต่อกลับ Call-to-Action เช่น เว็บไซต์ เบอร์ติดต่อหรือดึงไปหน้า Landing Page/Contact Form
นอกจากจะเป็นการเก็บข้อมูลความสนใจของลูกค้าในแต่ละระดับแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนผู้ติดตามให้กลายเป็นลูกค้าจริงๆ อีกด้วย
เมื่อมีคนสนใจต้องการติดต่อสอบถามเพิ่มเติม เราควรสแตนด์บายในช่องทางนั้นๆ เช่น ตอบคอมเมนต์ ตอบอินบอกซ์ หรือส่งรายชื่อคนที่มาลงทะเบียนให้เซลล์โทรหาลูกค้า ให้ผู้คนที่สอบถามได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีลดช่องว่างการปิดการขายพร้อมบริหารความสัมพันธ์ที่ดีและถูกที่สุดอีกด้วย
สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนั้นคือการทดลอง โพสคอนเทนต์หลายรูปแบบ
เพื่อค้นหาความต้องการของลูกค้าโดยเริ่มจาก ประเภทของคอนเทนต์ เช่น ให้ความรู้, คำคม, มินิเกมส์, โปรโมทสินค้าฯ จับคู่กับ ประเภทของรูปภาพ ว่าควรใช้รูปแบบไหนในแต่ละคอนเทนต์ (ตัวอักษร, บรรยากาศ, ตัวการ์ตูน)
ผมขอสารภาพเลยว่า เลือดตาแทบกระเด็น เพราะเงินเดือนของผมขึ้นอยู่กับยอดตรงนี้ ผมเขียน 49 คอนเทนต์ต่อสัปดาห์ โพสวันละ 7 คอนเทนต์ ไหนต้องหาข้อมูล, เทสภาพและข้อความและยังต้องมาทำรูปเองอีก บอกเลยว่าไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย เพราะจำนวนคนสมัครแปลผันตรงกับจำนวนโพสต่อวัน
หลังจากที่ลองมาสักพักผมก็เจอวิธีที่จะช่วยลดงานของผมลง จากโพสวันละ 7 เหลือวันละ 3 คอนเทนต์ นั้นคือการทำ Pinpost ซึ่งผมวิเคราะห์จากผลการเทสรูปภาพและข้อความในแต่ละประเภท ผมสามารถหาคอนเทนต์ที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างลูกค้ากับบริษัทเพื่อมาพินบนหน้าแฟนเพจ
จุดประสงค์ของการ Pinpost คือเพื่อให้ทุกคนที่เข้าชมเพจต้องเห็นและเกิด Impression, Engagement และ Organic Conversion
ผมไม่ได้จะบอกว่า Outbound Marketing ไม่สำคัญนะ เพราะทีมพวกนี้หล่ะที่ช่วยเรียกลูกค้าใหม่มากดไลค์เพจ ทำให้ผมตกบันไดลงถุงข้าวสาร ถูกครับว่ามีคนที่เห็นแอดใช้เงินแล้วสนใจสมัครไปก่อน ซึ่งตรงนั้นก็จะกลายเป็นยอดของเพื่อนผมไป แต่ส่วนที่เหลือที่มีความสนใจแต่ยังไม่พร้อมสมัครอ่า…
พูดง่ายๆ คือผมต้องทำ Inbound Marketing ดูแลกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อนั้นหล่ะครับ สร้างคอนเทนต์ที่ทำให้เกิดการแชร์เยอะๆ เน้นสร้างความประทับใจ สร้างความน่าเชื่อถือบนฐานแฟนเพจ เพื่อดึงดูดให้คนเหล่านั้นกดสมัครและกลายเป็นลูกค้าเราแบบออร์แกนิค