ปกติแล้วการทำโฆษณาที่ดีนั้นมีหลายขั้นตอน ไม่ใช่แค่การหากลุ่มเป้าหมายแล้วอัดเงินเข้าไปอย่างเดียว (แต่ส่วนใหญ่ในไทยเป็นแบบนั้น) ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะงบที่ลงไปไม่ค่อยเยอะ
แต่ถ้างบโฆษณาเริ่มเยอะขึ้นมาเรื่อยๆ การอัดงบอย่างเดียวก็เหมือน โอนเงินเข้ากระเป่ามาร์คฟรีๆ แถมเสียเวลาเซตโฆษณาอีกด้วย
***เพื่อใครยังไม่รู้ ทุกๆแคมเปญโฆษณามีส่วนประกอบที่สำคัญ 4 อย่างคือ
- เป้าหมายในการทำโฆษณา (Objective)
- วางแผนการทำโฆษณาให้บรรลุเป้าหมาย (Strategy)
- การวัดผลโฆษณา (Tracking)
- การแก้ไขและปรับปรุง (Optimization)
– วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง Tracking กัน –
"การทำโฆษณาโดยไม่มีการวัดผล ก็เหมือนฝนตกหนักตอนขับรถแต่ไม่มีที่ปัดน้ำฝน"
เนื้อหาในบทความนี้
ของแถม - เครื่องมือไว้ตรวจผลการติด Tag ต่างๆ ผ่าน Google Chrome
Facebook Pixel Helper ปลั๊กอินสำหรับ Chrome โดยทีม Facebook เป็นผู้พัฒนาเอง มีไว้ตรวจสอบการทำงานของ Facebook Pixel ที่เรานำไปติดแต่ละหน้าว่าทำงานถูกต้องรึยัง
Tag Assistant เป็นปลั๊กอินเสริมตัวที่ทาง Google เป็นผู้พัฒนาเอง มีประโยชน์มากๆ ในการตรวจเช็คการติด Tag ต่างๆที่ติดผ่าน Google Tag Manager
วิธีติด Google Tag Manager
Google Tag Manager เป็นเครื่องมือฟรี ที่จะทำให้การติด Tag ต่างๆ สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น จริงๆแล้ววิธีติดตั้งนั้นไม่ยาก แต่จะยากตรงการตั้งค่าให้ Tag ต่างๆทำงาน
ในบทความนี้จะขอข้ามขั้นตอนการ “สร้างและตั้งค่า Google Tag Manager” ไปนะครับ
1.ในหน้า Admin ของ Google Tag Manager ให้เลือก Install Google Tag Manager
2.นำ Code ที่ได้ไปแปะไว้ทั้งสองส่วน โดยให้นำ Code กรอบสีแดงด้านบนไปไว้หลัง <head> ส่วน Code กรอบสีฟ้าด้านล่างให้นำไปไว้หลัง <body>
3.สร้าง Child Theme ใน WordPress สำหรับไว้ติด Tag (ไม่สร้างก็ได้แต่ถ้ากด Update Theme เราต้องมาติด Google Tag Manager ใหม่)
4.เข้าไปที่ WordPress Editor ที่ช่องด้านขวาให้เลือก Theme Header > วาง Code ที่ได้จาก Google Tag Manager ทั้งหลัง <head> และ <body>
จากนั้นกด Update File แค่นี้ก็เรียบร้อยครับ!!
***โดยให้ Code ในกรอบสีแดงวางหลัง <head> และ Code ในกรอบสีน้ำเงิน วางหลัง <body>
5.ตรวจสอบว่า Google Tag Manager ที่ติดไปนั้นทำงานได้ถูกต้องด้วย Tag Assistant (หรือใช้ Preview Mode ใน Google Tag Manager ก็ได้)
-จบขั้นตอนการติด Google Tag Manager บน WordPress-
ลงทะเบียนเพื่อรอรับ eBook ด้านการตลาดออนไลน์
ที่เราตั้งใจทำให้เป็น "eBook ฟรีที่ดีที่สุดในประเทศ"
วิธีติด Facebook Pixel บน Google Tag Manager
การทำโฆษณาบน Facebook นั้นง่ายมาก แค่มีเพจก็กดบูสโพสได้แล้ว เพียงแต่จะขาดฟังก์ชันสำคัญๆบางอย่างไปเท่านั้นเอง หนึ่งในนั้นคือ Facebook Pixel ที่จะต้องทำการเปิดบัญชี Facebook Business Manager ก่อนถึงจะสร้าง Facebook Pixel ได้
มาเริ่มกันตั้งแต่สร้าง Facebook Pixel
1.ใน Business Manager Menu ให้เลือก Measure & Report > Pixels
2.กด Create a Pixel
3.ตั้งชื่อ Pixel ให้เรียบร้อย (แนะนำให้ตั้งชื่อตาม Ad Account)
ขั้นตอนติด Facebook Pixel ด้วย Google Tag Manager
4.เลือกวิธีการติดตั้ง Facebook Pixel แนะนำให้เลือกอันบนสุดเพราะมันง่ายมากกกกก!!
5.เลือกติดด้วย Google Tag Manager (เมื่อก่อนไม่มีให้เลือก)
6.เชื่อมต่อ Google Account ที่ใช้สร้าง Google Tag Manager แล้วเลือก Ads Account กับ Container จากนั้นกด “Finish Setup”
7.Setup complete!! หลังติดเสร็จจะมีลิ้งค์ให้เราโหลด Pixel Helper แนะนำว่าโหลดมาใช้ซะ
*พอติด Facebook Pixel เสร็จเราจะได้ความสามารถใหม่มานั่นคือ Facebook Analytics นั่นเอง
-จบขั้นตอนการติด Facebook Pixel ผ่าน Google Tag Manager-
วิธีติด Google Ads Conversion Tracking
บน Google Tag Manager
ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฏาคม 2561 Google Adwords ได้เปลี่ยนเป็น Google Ads พร้อมทั้งมีลูกเล่นต่างๆเพิ่มขึ้นมาหลายอย่าง และสำหรับการสร้าง conversion tracking ก็มีหน้าตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่วิธีการสร้างยังเหมือนเดิม
เริ่มด้วยการสร้าง Conversion บน Google Ads
1.ใน Google Ads ให้กดเครื่องหมาย Tools ด้านขวาบนแล้วเลือก Conversions
2.กด Add new conversion (เครื่องหมาย +)
3.เลือกประเภทของ Conversion ที่ต้องการ Track ในบทความนี้จะเลือกอันที่นิยมใช้ที่สุดคือ Website
4.ตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ เลือกว่าจะใช้ ไม้โปร ไม้บรรทัด หรือไม้เมตร ในการวัดผลครั้งนี้
ซึ่งค่าต่างๆจะมีความหมายดังนี้
- Conversion name : ชื่อเรียกของเครื่องมือวัด
- Category : ใช้วัดอะไร เช่น จำนวนคนซื้อ คนสมัคร หรือคนเข้าชมหน้าเว็ป
- Value : มูลค่าต่อ 1 หน่วย conversion (สำหรับเว็ปไซต์ eCommerce ควรทำ Dynamic Value Tracking)
- Count : นับเป็นคนหรือนับเป็นครั้ง
- Conversion window : กรอบเวลาวัดค่า
- View-through conversion window : แค่เห็น Ads ไม่ต้องคลิก ให้นับป็นค่าวัดผลถายในกี่วัน
- Include in “Conversion” : ให้แสดงค่าเป็น Conversion ใน Adwords มั้ย
- Attribution model : ลักษณะในการวัดผล นับเฉพาะ Ads สุดท้ายที่คลิก หรือนับหมด หรือ Ads แรกที่คลิก
เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วให้กด Create and continue
5.กดเลือกวิธีติดตั้งด้วย Google Tag Manager
6.เซฟ Conversion ID และ Conversion Label เก็บไว้ เตรียมเอาไปใส่ใน Google Tag Manager (จริงๆแนะนำว่าควรติด Conversion Linker Tag ไว้ด้วย ดูวิธีติดได้ ที่นี่)
มาเริ่มติด Google Ads Conversions Tag ด้วย Google Tag Manager กัน
วิธีที่ผมใช้บ่อยๆคือการติด Tag แล้วตั้งค่าให้ยิงเฉพาะหน้า Thankyou Page ซึ่งจะเหมาะกับเว็ปไซต์ที่มีการทำ redirect ให้คนมีสมัครหรือซื้อของแล้วเสร็จแล้วถูกส่งไปยังหน้า Thankyou Page แล้วเท่านั้น
7.ใน Google Tag Manager เลือก Tag > New > Google Ads Conversion Tracking
8.ตั้งชื่อ Tag แล้วใส่ค่า Conversion ID และ Conversion Label ให้เรียบร้อย เสร็จแล้วกด Save
9.ต่อไปเป็นการตั้งค่า Triggering คือการบอกว่าจะให้ Tag ที่ใส่ไว้นั้นแสดงผลตอนไหน
10.กดสร้าง Triggering ใหม่แล้วเลือก Page View
11.ใส่ชื่อ Trigger ตั้งค่าการยิงเป็น Some Page View เปลี่ยนให้เป็นยิงเมื่อ Page URL = “thankyou page”
12.กด Save แล้วกด Submit เป็นอันเสร็จ!!
-จบขั้นตอนการติด Google Ads Conversion Tracking ผ่าน Google Tag Manager-
วิธีติด Google Analytic Tag
Google Analytics นั้นมี 2 เวอร์ชั่น คือ Google Analytic – Classic กับ Google Analytics – Universal Analytics ซึ่งตอนนี้แนะนำว่าควรติดเป็น Universal Analytics ไปเลยจะดีกว่าครับ
เริ่มลุยติด Universal Analytics
1.เข้าไปที่ Google Analytic > Admin > Tracking Code แล้ว เซฟ Tracking ID เก็บไว้
2.ใน Google Tag Manager กดสร้าง Variables > New
3.เลือกสร้าง Google Analytics Setting
4.นำ Tracking ID มาใส่ ตั้งชื่อ Variable ให้เรียบร้อย แล้วกด Save
5.สร้าง Tag ใหม่ โดยเลือก Google Analytics – Universal Analytics
6.เลือก Track Type เป็น Page View และ เลือก Google Analytics Setting เป็น Variables ที่เราตั้งค่าไว้เมื่อกี้
ในส่วนของ Trigger ให้เลือก All Pages จากนั้นกด Save